หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

มารู้จักกับ Registry

มารู้จักกับ Registry หลังจากมีคนถามว่ามันคืออะไร คือ!!
คงเคยได้ยินคําว่า..Hack.Computer มากันบ้างแล้ว..ๆ :ไม่ได้พาท่าน ไปHack เครื่องใครหรอกครับ...เอาเครื่องเราเองนี้แหละ แล้วมันทําอย่างไร ? เครื่องเราจะเจ็งไหม ? ยากไหม ?อันตรายขนาดไหนกับการแก้ไข Hack เครื่องตัวเอง? :-X ..นั้นเป็นคําถามที่ก่อนที่ท่านจะอ่านบทความบทนี้จะพาท่านไปรีด.... นา ทาเร้น..พลังประสิทธิภาพ ของคอมพิวเตอร์ของ ท่านออกมาให้คุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านเสียไป..:-\..แต่..ปลอดภัยมากขึ้น ด้วยการ อธิบายแบบ New Hand (มือใหม่) อย่างเรา..เรา..ท่าน ๆ ทําตามได้ครับ..ภาษาไทยด้วยครับ ;) ปรับแต่ง..แก้ไข..เจาะลึก..พาคุณเข้าไปในก้นบึ้ง ของ Windows XP ด้วย.. registry , msconfig , services.msc, Gpedit.mscทำความรู้จักกับรีจีสทรีรีจิสทรี (Registry ) เป็นฐานข้อมูลส่วนกลางในวินโดวส์ที่ทำหน้าที่เก็บรวบรวมและดูแลรักษาข้อมูลที่สำคัญของ ระบบไว้ รีจิสทรีจึง เป็นส่วนประกอบที่น่าสนใจและสำคัญที่สุดของวินโดวส์ โดยรีจิสทรีถือ กำเนิดมาจากแนวความคิดในการจัดเก็บไฟล์ INI ของวินโวส์ 3.1 ซึ่งไฟล์ INI ก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง และ OLE เริ่มมีความซับซ้อน มากขึ้น Microsoft จึงได้สร้างโครงสร้างใหม่ขึ้นมาเพื่อไว้เก็บข้อมูล ที่จำเป็นสำหรับ OLE ในวินโดวส์ 3.1 คือใช้ไฟล์ REG และใช้โปรแกรม Registration Editer ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารัจิสทรีได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่่ วินโดวส์ 3.1 และได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจุบันคีย์หลักทั้ง 6 คีย์ รีจิสทรีของวินโดวส์ประกอบด้วยคีย์หลัก 6 คีย์ แต่ละคีย์ทำหน้าที่เก็บข้อมูล แตกต่างกันคือ ข้อมูลของผู้ใช้ ข้อมูล ของเครื่อง ชื่อคีย์หลักแต่ละคีย์จะเริ่ม ต้นด้วย HKEY_ และคีย์หลักแต่ละคีย์จะประกอบด้วยคีย์ย่อยหลายๆคีย์

1. HKEY_CLASSES_ROOT
บรรจุข้อมูลทั้งหมดที่ใช้ในวินโดวส์สำหรับ OLE รวมถึงรูปแบบไฟล์และคุณสมบัติต่างๆ
(ไอคอนที่แสดงในวินโดวส์ และคำสั่งต่างๆ เช่นการเปิดไฟล์ การพิมพ์ )

2. . HKEY_USERS
บรรจุข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน ประกอบด้วยข้อกำหนดดีฟอลท์ สำหรับ Desktop, StartMenu, แอพพลิเคชั่นต่างๆ และส่วนประกอบอื่นๆ เมื่อผู้ใช้ล็อกออนเข้าระบบข้อกำหนดดีฟอลท์จะถูกขัดลอกไปยังคีย์ย่อยอีกคีย์หนึ่งที่ระบุถึงผู้ใช้ จากนั้นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆต่อข้อกำหนดเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้ในคีย์ย่อยคีย์นี้

3. . HKEY_CURRENT_USERS
คือข้อมูลผู้ใช้ที่ถูกสร้างขึ้นมาจาก HKEY_USERS ระหว่างล็อกออน ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดใน HKEY_CURRENT_USERSก็คือข้อมูลอีกชุดหนึ่งของคีย์ย่อย HKEY_USERS นั่นเอง

4. . HKEY_LOCAL_MACHINE ประกอบด้วยข้อมูลของเครื่อง เช่น ไดร์เวอร์, ฮาร์ดแวร์, พอร์ต และพาลามิเตอร์ของซอฟต์แวร์ ข้อมูลเหล่านี้มีผล กระทบกับผู้ใช้ทุกคน ที่ล็อกออนเข้าระบบ

5. . HKEY_CURRENT_CONFIG ประกอบด้วยข้อมุลจำพวก Plug & Play และรายละเอียดฮาร์ดแวร์ปัจจุบันของระบบในกรณีที่มีฮาร์ดแวร์หลาย แบบในเครื่องเดียวกัน ข้อมูลในคีย์นี้จะตรงกับข้อมูลในคีย์ HKEY_LOCAL_MACHINE\Config

6. . HKEY_DYN_DATA ประกอบด้วยข้อมูลล่าสุดของอุปกรณ์ต่างๆทำให้สามารถ ใช้ข้อมูลเหล่านี้ตรวจสอบปัญหาด้าน
ฮาร์ดแวร์, สถานะของอุปกรณ์ แต่ละตัว หรือเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์ต่างๆ โดย Device Manager ใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อ แสดงรายละเอียดฮาร์ดแวร์ล่าสุด โดยทั่วไป ระบบทำหน้าที่อ่านและแก้ไขข้อมูลทั้งหมดในคีย์หลักนี้ อย่างไร ก็ตามผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลบางอย่างได้ด้วยตัวเอง ซึ่งข้อมูล ส่วนใหญ่ จะยังคงอยู่ในความควบคุมของระบบเท่านั้น Registry ของ Windows 98/Me มี HKEY_..ตามข้างต้น..แต่Registry ของ Windows XP จะมี HKEY_เพียง 5 กลุ่ม คือ
1. . HKEY_CLASSES_ROOT บรรจุข้อมูลทั้งหมดที่ใช้ในวินโดวส์สำหรับ OLE รวมถึงรูปแบบไฟล์และคุณสมบัติต่างๆ (ไอคอนที่แสดงในวินโดวส์ และคำสั่งต่างๆ เช่นการเปิดไฟล์ การพิมพ์ )
2. . HKEY_USERS บรรจุข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน ประกอบด้วยข้อกำหนด ดีฟอลท์ สำหรับ Desktop, StartMenu, แอพพลิเคชั่นต่างๆ และส่วนประกอบ อื่นๆ เมื่อผู้ใช้ล็อกออนเข้าระบบข้อกำหนดดีฟอลท์จะถูกขัดลอกไปยังคีย์ย่อย อีกคีย์หนึ่งที่ระบุถึงผู้ใช้ จากนั้นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆต่อข้อกำหนดเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้ในคีย์ย่อยคีย์นี้
3. . HKEY_CURRENT_USERS คือข้อมูลผู้ใช้ที่ถูกสร้างขึ้นมาจาก HKEY_USERS ระหว่างล็อกออน ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดใน HKEY_CURRENT_USERSก็คือข้อมูลอีกชุดหนึ่งของคีย์ย่อย HKEY_USERS นั่นเอง
4. . HKEY_LOCAL_MACHINE ประกอบด้วยข้อมูลของเครื่อง เช่น ไดร์เวอร์, ฮาร์ดแวร์, พอร์ต และพาลามิเตอร์ของซอฟต์แวร์ ข้อมูลเหล่านี้มีผล กระทบกับผู้ใช้ทุกคน ที่ล็อกออนเข้าระบบ
5. . HKEY_CURRENT_CONFIG ประกอบด้วยข้อมุลจำพวก Plug & Play และรายละเอียดฮาร์ดแวร์ปัจจุบันของระบบในกรณีที่มีฮาร์ดแวร์หลาย แบบในเครื่องเดียวกัน ข้อมูลในคีย์นี้จะตรงกับข้อมูลในคีย์ HKEY_LOCAL_MACHINE\Config
การใช้
Registry Editor Registry Editor คือ เครื่องมือที่ใช้แสดงผลและแก้ไขข้อมูลรีจิสทรี โดยหลังจากติดตั้งวินโดวส์แล้วเราจะไม่พบ Registry Editor ในสตาร์ท เมนู แต่โปรแกรม setup จะก็อปไฟล์REGEDIT.EXE ไว้ในโฟลเดอร์วินโดวส์ ที่เป็นเช่นนี้เพื่อป้องกันผู้ใช้มือใหม่ที่ยังไม่มีความชำนาญเพียงพอ เข้าไปแก้ไขรีจิสทรีซึ่งอาจทำให้ระบบเสียหาย การเรียกใช้ Registry Editor ได้โดยไปที่เมนู RUN แล้วพิมพ์ regedit แล้วกด OK Registry Editor จัดการข้อมูลเป็น 3 แบบ String ข้อมูลแบบข้อความจะถูกเก็บไว้เป็นตัวอักษร ค่าของข้อมูลแบบนี้จะอยู่ใน เครื่องหมายคำพูด สำหรับสตริงว่างเปล่าจะแสดงเป็น "" Brinary ข้อมูลแบบเลขฐาน สองแสดงในลักษณะข้อมูลเลขฐานสิบหก โดยใช้เลข 0 ถึง 9 และตัวอักษร a ถึง f ถ้าไม่มีข้อมูลจะแสดงเป็นข้อความ (zero-length binary value) DWORD ข้อมูลเลขฐานสองแบบพิเศษ ซึ่งแสดงค่าออกมาเป็นเลขฐานสิบหก และฐานสิบในรูปแบบ 0x00000000(0) โดยค่าแรกเป็นเลขฐานสิบหก (0x00000000) และค่าในวงเล็บ (0) เป็นเลขฐานสิบ

การแก้ไขค่าใน Registry Editor เมื่อต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ เราต้องเลือกคีย์ที่ต้องการเพื่อแสดงค่าของคีย์นั้นในช่องทางขวาแล้วเริ่มแก้ไขโดยวิธีใดวิธีหนิ่งดังต่อไปนี้ ดับเบิลคลิกที่ชื่อข้อมูลคลิกที่ชื่อข้อมูล และใช้คำสั่ง Modify ในเมนู Edit คลิกขวาที่ชื่อข้อมูลแล้วเลือกคำสั่ง Modifyจากนั้น Rgistry Editor จะเปิดไดอะล็อคบ็อกซ์ที่แสดงชื่อและค่าของข้อมูล ข้อมูลที่ปรากฎ จะขึ้นอยู่กับแบบข้อมุลที่กำลังแก้ไขอยู่

การแก้ไขค่า String เมื่อเราต้องการเปลี่ยนค่าใหม่ให้พิมพ์เข้าไปที่ช่อง Value data แล้วคลิก OK ค่าใหม่จะถูกเก็บเข้าไปในรีจิสทรีทันที แม้ว่าเราจะเห็นข้อความในคีย์ แสดงอยู่ใน เครื่องหมายคำพูด แต่เวลาระบุข้อมูลใหม่เข้าไปไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องหมายคำพูดนี้ เพราะเครื่องหมายนี้ Registry Editor ใช้เพื่อแสดงว่าเป็นข้อมูลแบบข้อความ

การแก้ไขค่า BrinaryRegistry Editor จะเปิด Edit Binary Value ดังแสดงในรูป ช่อง Value data แสดงข้อมูลในรูปเลขฐานสิบหก โดยเลขสี่ตัวแรกทางด้านขวาระบุถึง ตำแหน่งข้อมูล และถัดมาเป็นตัวข้อมูล ซึ่งแสดงเป็นชุดข้อมูลแบบไบท์ (เลขฐานสิบหก) เมื่อต้องการแก้ไขข้อมูลที่มีอยู่ให้เลื่อกข้อมูลที่ต้อง การแล้วระบุค่าใหม่ลงไปจากนั้นคลิก OK

การแก้ไขค่า DWORD เมื่อเราเลือกแก้ไขค่า DWORD โปรแกรม Registry Editor จะเปิด Edit DWORD Value ดังในรูป จากนั้น เราสามารถปรับเลี่ยนค่าหรือ ระบุค่าเป็นเลขฐานสิบหกหรือฐานสิบตามออปชั่น Base คือ เลือก Hexadecimal เพื่อระบุค่าเลขฐานสิบหก เลือก Decimal เพื่อระบุค่าเลขฐานสิบ เสร็จเรียบร้อย คลิก OK

การเพิ่มคีย์ใหม่ใน Registry Editor ถ้าหากต้องการเพิ่มค่าใหม่เข้าไปจะต้องระบุชื่อข้อมูลและค่าของมันด้วย เมื่อต้องการแทรกข้อมูลใหม่เข้าไปใน รีจิสทรีทำดังต่อไปนี้ คลิกขวาที่คีย์ที่ต้องการ หรือคลิกขวาในช่องด้านขวาเพื่อแสดงเมนู เลือก NEW แล้วเลือกคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งต่อไปนี้ Key, String Value, Binary Value หรือ DWORD Valueถ้าเลือกคำสั่ง Key โปรแกรม Registry Editor จะเพิ่มคีย์ย่อยชื่อ New Key ในช่องด้านซ้าย แต่ถ้าเลือก Key, String Value, Binary Value หรือ DWORD Value จะสร้างข้อมูลใหม่ชื่อ New Value ในช่องด้านขวา จากนั้นให้เปลี่ยนชื่อตามต้องการ

ารลบข้อมูลใน Registry Editor เราสามารถใช้ Registry Editor เพื่อลบคีย์ และค่าต่างๆ ได้เมื่อต้องการลบทำดังต่อไปนี้ลบทั้งคีย์ ให้คลิกขวาที่คีย์ในช่องด้าน ซ้าย แล้วเลือก Delete ลบค่าต่างๆที่อยู่ในคีย์ ให้คลิกขวาที่ค่านั้นๆใน ช่องด้านขวา แล้วเลือก Deleteข้อควรระวังคือ ใน Registry Editor ไม่มีฟังก์ชั่น Undo เราจึงไม่สามารถเรียกคืนข้อมูล กลับมาได้ ถ้าหากเผลอลบข้อมูลออกไป

"He who is good at excuses is seldom good at anything else."คนชอบแก้ตัวมักไม่ได้เรื่องสักอย่าง
"He who knows does not speak. He who speaks does not know." ผู้รู้มักไม่พูด ผู้พูดมากมักรู้ไม่จริง

วิธีง่ายๆในการกระตุ้นความจำ



วิธีง่ายๆ ในการกระตุ้นความจำ“สมอง”
“สมอง”ที่อาจจะไม่ค่อยมีที่ว่างพอ-เพียงให้อัดข้อมูลใหม่ลงไปได้สักเท่าไรนัก โชคร้ายตรงที่เราไม่มี “เอ็กซ์เทอร์-นัลฮาร์ดไดรฟ์” หรือหน่วยจัดเก็บข้อมูลภายนอกอย่างที่คอมพิวเตอร์มี อย่างไร ก็ตาม จากการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าคนเราสามารถจะกระตุ้นหรือปรับปรุงความทรงจำให้ดีขึ้นได้วิธีช่วยจำ อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าหากไม่อยากจะลืมสิ่งที่เรียนรู้ไปในวันนี้ ก็จงเข้านอนเสีย การได้นอนสักพัก ถ้าจะให้ดีอาจจะในราว 90 นาที จะเป็นการช่วยบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวันขึ้นได้ ทีนี้เมื่อได้เข้านอนตอนกลางคืน สมองก็จะสร้างความทรงจำของเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้น แต่การใช้สมองอย่างหนักกับความทรงจำระยะยาว อาจทำให้ต้องผจญกับความทรงจำที่มีต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดหลายชิ้น พบว่าความทรงจำของแต่ละคนนั้น สามารถจะปรับปรุงหรือกระตุ้นให้ดีขึ้นได้ โดยอาศัยปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง ได้แก่ การฟังดนตรี การปรับปรุงนิสัย และการคิดมองโลกอย่างเด็กๆ ก็มีส่วนช่วยได้ไม่น้อย

ยกเลิกระบบซี

ยกเลิกระบบซี (C : Common Level)
เสี้ยวหนึ่งของการปฏิรูปราชการ (กวนน้ำให้ใส)วันก่อน "รัฐบาลขิงแก่" ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าประกอบด้วยบุคลากรที่ส่วนใหญ่เป็นอดีตข้าราชการ ระดับสูง หรือเรียกว่า "ขุนนางราชการ" เพิ่งจะมีมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติร่างกฎหมายที่จะมีผลเปลี่ยนแปลง รูปแบและวิธีการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ร่าง พระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง และร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ประเด็นที่ฮือฮากันก็คือ จะมีการยกเลิกระดับตำแหน่งที่เรียกว่า ซี ก่อนจะไปว่ากันถึงตรงนั้น ควรทราบเสียก่อนว่า การจัดระบบระเบียบข้าราชการพลเรือนนั้น มี พัฒนาการมาอย่างไร ระบบราชการไทย มีวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ หลังจากที่สมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงวางรากฐานระบบราชการ ให้มีความทันสมัย มีกฎหมายรองรับ โดยในปี พ.ศ. 2471 มีการจัดระบบระเบียบของข้าราชการที่ให้ยึดหลัก ความรู้ความสามารถ ความเสมอภาค และความเป็นกลางของข้าราชการ ต่อมา ในปี พ.ศ.2497 ได้นำ "ระบบชั้นยศ" มาใช้ ประกอบด้วย ชั้นจัตวา ตรี โท เอก ขึ้นไปจนชั้น พิเศษ โดยจะติด "ยศ" ไว้กับตัวข้าราชการและมอบหมายให้ทำหน้าที่ตามดำรงตำแหน่งนั้น ในภายหลัง ปี พ.ศ.2518 ถึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยนำ "ระบบจำแนกตำแหน่ง"(Position Classification System) มา ใช้ ภายใต้หลักการ "ใช้คนให้ตรงกับงาน" และ "งานเท่ากันเงินเท่ากัน" หรือ Put The Right Man On The Right Job และ Equal Pay For Equal Work แล้วจึงมีการจัดโครงสร้างของตำแหน่งตามระดับมาตรฐาน กลาง (Common Level) เป็น ๑๑ ระดับ ซึ่งนิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า " ซี " ซี 1 คือข้าราชการพลเรือนระดับต้น ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง ซี 11 คือข้าราชการระดับสูงสุด ระดับ ปลัดประทรวง เป็นต้น ดังนี้แล้ว หากจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในสมัยนี้ ก็น่าจะต้องทำให้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ ดีกว่าเดิม โดยควรจะมุ่งเน้นในด้านคุณธรรม คุณภาพของงาน ความรู้ความสามารถ โอกาสก้าวหน้าทางการ งาน การกระจายอำนาจ และคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของข้าราชการ อย่าลืมว่า การยกเลิกระบบซี เพื่อเปลี่ยนไปใช้ระบบอื่น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการจัดระบบ บริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนเท่านั้น และการจัดระบบบริหารงานข้าราชการ ก็เป็นเพียง ส่วนหนึ่งของการปฏิรูปราชการเท่านั้น 1) การยกเลิกระบบ ซี ในครั้งนี้ เป็นเพียงการปรับปรุงระบบ ประเภทตำแหน่ง และค่าตอบแทนของ ข้าราชการ โดยจัดทำมาตรฐานกำหนดระดับตำแหน่ง แยกตามลักษณะของประเภทตำแหน่ง ซึ่งกำหนดไว้ 4 ประเภท ได้แก่ ตำแหน่งประเภทบริหาร อำนวยการ วิชาการ และทั่วไป ซึ่งแต่ละประเภทจะมีระดับตำแหน่งที่ แยกออกจากกันอีกที กล่าวคือ ตำแหน่งประเภทบริหาร และประเภทอำนวยการ จะแบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับต้น และ ระดับสูง ตำแหน่งประเภทวิชาการ จะแบ่งย่อยเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ระดับปฏิบัติการ ระดับชำนาญการ ระดับ ชำนาญการพิเศษ ระดับผู้เชี่ยวชาญ และระดับผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนตำแหน่งประเภททั่วไป จะแบ่งย่อยเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับปฏิบัติการ ระดับชำนาญการ ระดับ อาวุโส และระดับทักษะพิเศษ พูดง่ายๆ ว่า ยังคงมีระดับขั้นอยู่ แต่น้อยขั้นลงกว่าเดิม การกำหนดประเภทของตำแหน่งและระดับตำแหน่งแบบใหม่นี้ คาดหวังว่า จะส่งผลให้ ข้าราชการสามารถก้าวหน้าในระดับสูงขึ้นไปได้ง่ายในสายงานของตน โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนข้าม ประเภท ซึ่งจะทำให้มีการพัฒนาคุณภาพข้าราชการในลักษณะที่ว่า ยิ่งทำ ยิ่งเก่ง และเมื่อเก่งแล้ว มี ตำแหน่งมารองรับในสายงานของตน ประเด็นนี้ จะเป็นจริงได้แค่ไหน หรือเป็นจริงแล้วจะเป็นผลดีหรือไม่ ก็ยังน่าถกเถียงกันอยู่ เพราะในขณะที่มีข้อดีตรงทำให้ข้าราชการได้พัฒนาความสามารถในประเภทงานของตน โดย ไม่ต้องเสียสมาธิ หรือวอกแวกไปกับงานประเภทอื่น ซึ่งย่อมจะเพิ่มความชำนาญในประเภทงานของ ตน เกิดการพัฒนาในทางวิชาชีพของตนยิ่งขึ้น เรียกว่า "รู้ลึก" ก็จริง ส่วนจะ "รู้รอบ" หรือไม่ และจะมีผลเสียอย่างไร ก็ต้องคิดกันดู 2) เรื่องค่าตอบแทนของข้าราชการ ซึ่งปัจจุบันมีการกำหนดค่าตอบแทนตามบัญชีเงินเดือนเดียวกันทุก ประเภทกลุ่มงาน ตั้งแต่ ซี 1 - ซี 11 ทำให้ไม่มีความยืดหยุ่นในการบริหารกำลังคน และยังเน้นคุณวุฒิ การศึกษาและความอาวุโส มากกว่าขีดความสามารถในการปฏิบัติงานของข้าราชการ ปัญหานี้ ต้องนับว่าเป็นจุดอ่อนร้ายแรง ทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพการ ทำงานของข้าราชการ ทำลายไฟในการทำงานของคนรุ่นใหม่ และยังนำไปสู่ภาวะสมองไหลออกจาก ระบบราชการ ในร่างกฎหมายใหม่ ได้กำหนดบัญชีเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งไว้หลากหลาย แตกต่าง กันตามประเภทตำแหน่งและระดับ ซึ่งโดยรวมกล่าวได้ว่า ข้าราชการทั้งระบบ จะได้เงินเดือนสูงขึ้น น่าสังเกตว่า เงินเดือนในระดับสูงสุดของตำแหน่งงานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่ง ประเภทบริหาร อำนวยการ วิชาการ และทั่วไป จะระดับเงินเดือนที่ไม่ต่างกันมากนัก คือ 63,920 บาท 57,470 บาท 61,860 บาท และ 57,470 บาท ตามลำดับ สะท้อนว่า ต้องการสร้างแรงจูงใจให้ข้าราชการสามารถเติบโตในประเภทตำแหน่งงานของ ตน โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนประเภทตำแหน่งงาน
3) ในร่างกฎหมายฉบับนี้ จะมีการกระจายอำนาจการบริหารบุคคล การสรรหา การบรรจุ และแต่งตั้ง ไปให้ปลัดกระทรวง และอธิบดี รับผิดชอบมากขึ้น พร้อมทั้งเปิดช่องให้มีการสรรหาใน "ระบบเปิด"

VDO-ข่าวคนตกงาน

จรรยาบรรณครู

จรรยาบรรณ ครู พ.ศ. 2539

1. ครูต้องรักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือส่งเสริม ให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า
2. ครูต้องอบรม สั่งสอน ฝึกฝน สร้างเสริมความรู้ ทักษะและนิสัย ที่ถูกต้องดีงาม ให้เกิดแก่ศิษย์ อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ
3. ครูต้องประพฤติ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ
4. ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคมของศิษย์
5. ครูต้องไม่แสวงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และไม่ใช้ให้ศิษย์กระทำการใด ๆ อันเป็นการหา ผลประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ
6. ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งทางด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนาทาง วิทยาการ เศรษฐกิจสังคม และ การเมืองอยู่เสมอ
7. ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครูและเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์กรวิชาชีพครู
8. ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์
9. ครูพึงประพฤติ ปฏิบัติตน เป็นผู้นำในการอนุรักษ์ และพัฒนาภูมิปัญญา และวัฒนธรรมไทย

การเตรียมการสอน

การเตรียมการสอน
การเตรียมการสอน เป็นการกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้สอนก่อนที่จะเริ่มดำเนินการสอน เป็นการวางแผนและ เตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้การเรียนของผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ โดยการกำหนดองค์ประกอบต่างๆ ของการสอน ได้แก่วัตถุประสงค์ วิธีการสอน กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน และวิธีวัดผลประเมินผล แล้วนำไปเขียนแผนการสอน และนำไปปฏิบัติ คือการสอนต่อไป

ประโยชน์ของการเตรียมการสอน
1. เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน เพราะผู้สอนสามารถวิเคราะห์ข้อบกพร่องหรือปัญหาที่ผ่านมา แล้ว นำไปปรับปรุงการเรียนการสอนครั้งต่อไป
2. ช่วยให้ผู้สอนมีการเตรียมการ และมีความรอบคอบในการเลือกจุดมุ่งหมายและกิจกรรมการเรียน
3. ช่วยให้การเตรียมการตอบสนองการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เหมาะสม
4. ช่วยให้ประสบการณ์การเรียนรู้มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน
5. ช่วยให้ผู้สอนสามารถเตรียมการเลือกสื่อ กิจกรรมการสอน วิธีการประเมินผล ที่เหมาะสมและมี ประสิทธิภาพ ตรงจุดมุ่งหมายที่วางไว้

สิ่งที่ผู้สอนจะต้องรู้จักเกี่ยวกับการเรียนการสอน
1. หลักสูตร (Curriculum) หมายถึง ความรู้และประสบการณ์ที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นตามวัตถุประสงค์ โดยได้รับการรับรองมาตรฐานของหลักสูตรจากทบวงมหาวิทยาลัย เพื่อกำหนดรายวิชาต่าง ๆ ให้ นักศึกษาได้รับตามจำนวนหน่วยกิต และปีสำหรับการศึกษาที่กำหนด
2. คำอธิบายรายวิชา (Course Description) คือ สาระที่กำหนดเป็นหลักของแต่ละรายวิชาในหลักสูตรที่ได้รับการอนุมัติแล้ว ส่วนใหญ่จะเขียนเพียงหลักสำคัญของวิชาเท่านั้น
3. เค้าโครงรายวิชา (Course Outline) หมายถึง การกำหนดโครงร่างของการสอนแต่ละรายวิชา
4. แผนการสอน (Lesson Plan) หมายถึง รายละเอียดของกิจกรรม วิธีการสอน เนื้อหาในแต่ละหน่วย หรือแต่ละชั่วโมงที่ผู้สอนได้กำหนดไว้ เพื่อสอนในแต่ละชั่วโมง โดยอาจกำหนดเป็น
4.1 แผนการสอนรายสัปดาห์ คือการนำเนื้อหาที่กำหนดจากประมวลการสอนรายวิชามาแบ่งเป็น หัวข้อการสอนย่อย ๆ เพื่อที่จะสอนในแต่ละสัปดาห์
4.2 แผนการสอนรายครั้ง คือการนำเนื้อหาที่กำหนดมาแบ่งเป็นหัวข้อย่อยที่มีขอบเขตเนื้อหาที่พอเหมาะกับการสอนแต่ละครั้ง

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ตำนาน “Ctrl+Alt+Delete”

รู้จักกับผู้สร้างตำนาน “Ctrl+Alt+Delete” อันโด่งดัง
คอนโทรล (Ctrl) ออลติเนต (Alt) และดีลีท (Delete) คือ
คำสั่งยอดฮิตสำหรับจัดการกับคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปรู้จักกันดี โดยทั้งสามปุ่มนี้จะต้องกดพร้อม ๆ กัน จากนั้นระบบจะทำการบูตเครื่องใหม่ ซึ่งทั้งสามปุ่มนี้ เป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างแพร่หลายมาตลอด 10 ปีที่คอมพิวเตอร์มีบทบาทกับชีวิตของมนุษย์เรา “เดวิด บรัดเลย์ (David Bradley)” หนึ่งในพนักงานจากยักษ์ใหญ่สีฟ้า “ไอบีเอ็ม” เขาคือผู้คิดค้นโค้ดคำสั่งดังกล่าว โดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาที ในการเขียนโค้ดคำสั่ง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาได้สร้างคำสั่งที่ตรงใจผู้ใช้และจำเป็นมากที่สุดคำสั่งหนึ่งเลยทีเดียว บรัดเลย์เข้าร่วมงานกับไอบีเอ็มเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1975 ในตำแหน่งวิศวกร ประจำอยู่ที่โบคา ราตัน รัฐฟลอริด้า จากนั้นในปี 1980 เขาคือทีมงาน 1 ใน 12 คนของไอบีเอ็มที่ปลุกปั้นคอมพิวเตอร์พีซีขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้เขาย้ายมาทำในส่วนของการวิจัยและพัฒนาให้กับไอบีเอ็ม โดยในยุคเริ่มแรกของพีซีนั้น พวกเขาจำเป็นต้องออกแบบให้มันใช้งานได้ง่ายที่สุด รวมถึงวิธีการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ ในกรณีที่มันทำงานผิดพลาด หรือเกิดแฮงค์ขึ้นมานั่นเอง และโค้ดคำสั่ง Ctrl + Alt + Delete ก็คือหนึ่งในหลาย ๆ คำสั่งที่บรัดเลย์คิดขึ้นมาได้ ในตอนนั้นผมไม่ทราบหรอกว่ามันจะกลายเป็นคำสั่งสำคัญของคอมพิวเตอร์พีซีในอนาคต เพราะว่าผมก็ต้องคิดคำสั่งต่าง ๆ อีกมากมาย นอกเหนือจาก Ctrl+Alt+Delete แต่ปรากฏว่าคำสั่งดังกล่าวนี้ เป็นที่รู้จักมากที่สุด” แต่ก็อาจกล่าวได้ว่า ชื่อเสียงที่โด่งดังของเขานั้น ขึ้นอยู่กับความผิดพลาดของคนสร้างโปรแกรม ว่าจะสร้างพลาดมากน้อยเพียงไร โดยเขากล่าวว่า “ผมอาจจะเป็นคนสร้างมันขึ้นมา แต่บิล เกตต์ คือคนที่ทำให้มันเป็นที่รู้จัก” ซึ่งการสรรเสริญของบรัดเลย์ต่อบิล เกตต์ครั้งนี้ ทำให้เจ้าของค่ายยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ ผู้สร้างซอฟต์แวร์ Microsoft’s Windows ชื่อดังถึงกับหัวเราะไม่ออกมาแล้ว เพราะอีกนัยหนึ่งก็คือการตอกย้ำให้เห็นถึงความผิดพลาดในการทำงานของซอฟต์แวร์ของบิล เกตต์นั่นเอง ปัจจุบัน บรัดเลย์มีอายุ 55 ปี และได้ลาออกจากไอบีเอ็ม บริษัทที่เขาใช้เวลาร่วมด้วยนานเกือบทั้งชีวิต เป็นระยะทางทั้งสิ้น 28.5 ปีแล้ว จากนั้นรายงานระบุว่า เขาจะใช้เวลาหลังการเกษียณตัวเองในการสอนนักศึกษาให้กับมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลน่า